วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

                                               ไข่เป็ด ไข่ไก่ ประโยชน์ที่แตกต่าง

     ไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากและรับประทานกันแพร่หลายทั่วๆไป ประชาชนทั่วๆไปมักจะพูดกันและรู้จักไข่ในลักษณะอาหารเสริม บำรุงกำลัง ผู้ที่ไม่มีแรง อ่อนเพลีย หรือผู้ที่เจ็บป่วย มักถูกญาติมิตร เพื่อนฝูง แนะนำให้รับประทานไข่บ้าง อาหารไข่นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และสะดวกในการประกอบอาหารรับประทาน อย่างไรก็ตามจริงๆแล้วเรื่องราวของไข่เกี่ยวกับคุณประโยชน์จริงๆนั้นยัง รู้จักกันน้อย บางครั้งมักจะมีผู้ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าไข่ไก่หรือไข่เป็ด ชนิดไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน ความจริงแล้ว โปรตีนจากไข่ขาวเป็นโปรตีนชั้นดี ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้แทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพของร่างกายได้ทั้งหมด นับว่าดีกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก ทางการแพทย์บอกว่า ไข่ขาวสามารถเปลี่ยนเป็นโปรตีนของร่างกายได้เต็ม 100 % ประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสนใจมากนัก เราควรจะหันมาให้ความสนใจกับการรับประทานไข่ให้มากขึ้น จะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ เพราะล้วนแต่ให้ประโชน์ทั้งนั้น ในต่างประเทศมักจะไม่ค่อยรับประทานไข่เป็ดกัน เพราะหาได้ลำบากกว่าไข่ไก่ จะสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดแบบเลี้ยงไก่ก็ทำไม่สะดวกไข่ไก่หรือไข่เป็ดชนิดใด มีคุณค่ามากกว่ากัน ดีกว่ากัน ข้อมูลเป็นตัวเลขเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้สำหรับไข่ไก่ 1 ฟอง และ ไข่เป็ด 1 ฟอง

สารอาหาร                  ไข่ไก่              ไข่เป็ด
พลังงาน (แคลอรี)          169               180 
ไขมัน (กรัม)                11.9              12.6 
คาร์โบไฮเดรต (กรัม)       1.7                4.1 
โปรตีน (กรัม)               12.7              11.7 
แคลเซี่ยม (มิลลิกรัม)      76.0              71.0 
เหล็ก (มิลลิกรัม)            3.5                2.8 
วิตามิน บี 1 (มิลลิกรัม)    0.08               0.27 
วิตามิน บี 2 (มิลลิกรัม)    0.48               0.56 
วิตามิน บี 5 (มิลลิกรัม)     0.1                 0.1

            คุณค่าของไข่ไก่และไข่เป็ด มีส่วนแตกต่างกันบ้าง เช่น ไข่ไก่หนือกว่าไข่เป็ด ในด้าน โปรตีน แคลเซี่ยม เหล็ก แต่ไข่เป็ดกลับเหนือว่าในด้านพลังงาน ไขมัน วิตามิน บี 1 วิตามิน บี 2 

           หากเรารับประทานไข่ไก่หรือไข่เป็ด 1 ฟอง คิดปริมาณน้ำหนัก 5 0 กรัม เมื่อเทียบความต้อการสารอาหารที่ควรได้รับสำหรับประชาชน ใน 1 วัน ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ในวันหนึ่งควรรับประทานไข่เพียงวันละ 1 ฟอง ก็จะได้สารอาหารที่จำเป็นมากพอสมควร

                                                               การเลี้ยงเป็ด
         พันธุ์เป็ด

เป็ดที่เลี้ยงกันอยู่ทั่วไปมี 2 ประเภท คือ

เป็ดพันธุ์ไข่
เป็ดพันธุ์เนื้อ
1. เป็ดพันธุ์ไข่

      พันธุ์กากีแคมเบลล์ พัฒนาพันธุ์ในประเทศอังกฤษ จนได้เป็นเป็ดพันธุ์ที่ให้ไข่ดกที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่งโดยให้ไข่ปีละมากกว่า 300 ฟอง
เป็ดกากีมีขนสีน้ำตาล แต่ขนที่หลังและปีกมีสีสลับอ่อนกว่า ปากดำค่อนข้างไปทางเขียว จงอยปากต่ำ ตาสีน้ำตาลเข้ม คอส่วนบนสีน้ำตาล แต่ส่วนล่างเป็นสีกากี ขาและเท้าสีเดียวกันกับขน แต่เข้มกว่าเล็กน้อย

     ตัวเมียเมื่อโตเต็มที่หนักประมาณ 2.0-2.5 กก. เริ่มไข่เมื่ออายุประมาณ 41/2 เดือน ส่วนตัวผู้ จะมีขนสีเขียวที่หัว คอ ไหล่ และปลายปีก ขนตัวสีกากีและน้ำตาลขาและเท้าสีกากีเข้ม โตเต็มที่หนักประมาณ 2.5-2.7 กก.

    พันธุ์อินเดียนรันเนอร์ เป็นเป็ดขนาดเล็ก ตัวผู้โตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 1.7-2.5 กก. ตัวเมียมีน้ำหนัก 1.5-2.0 กก. เป็ดพันธุ์นี้มีอยู่ 3 ชนิด คือ สีขาว สีเทา และสีลาย
ลักษณะเด่นประจำพันธุ์ที่แปลกกว่าเป็ดพันธุ์อื่น ๆ คือการยืนคอตรงลำตัวเกือบตั้งฉากกับพื้น ปากสีเหลือง แข้งและเท้าสีส้ม ตัวเมียเริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ 4 1/2 เดือน ให้ไข่ฟองโตและไข่ทน

    พันธุ์พื้นเมือง ที่นิยมเลี้ยง มี 2 พันธุ์ คือ
เป็ดนครปฐม เลี้ยงกันมากในเขตจังหวัดนครปฐม เพชรบุรี สุพรรณบุรี และในพื้นที่ลุ่มซึ่งเป็นเขตน้ำจืด ตัวเมียมีขนสีลายกาบอ้อย ปากสีเทา เท้าสีส้ม ตัวผู้มีสีเขียวแก่ตั้งแต่คอไปถึงหัว คอควั่นขาว อกสีแดง ลำตัวสีเทา ปากสีเทา และเท้าสีส้ม ตัวผู้โตเต็มที่หนักประมาณ 3.0-3.5 กก. ตัวเมียหนัก 2.5-3.0 กก. เริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน
เป็ดปากน้ำ เลี้ยงกันมากในเขตจังหวัดสมุทรปราการ (ปากน้ำ) สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ตลอดจนจังหวัดที่อยู่ชายฝั่งทะเลอื่น ๆ เป็นเป็ดพันธุ์เล็ก ตัวเมีย มีปาก เทา และลำตัว สีดำ อกสีขาว เฉพาะตัวผู้จะมีขนสีเขียวบรอนซ์ที่หัว ขนาดเล็กกว่าเป็ดนครปฐม ขนาดไข่ก็เล็กกว่าเริ่มให้ไข่เมื่ออายุ 5-6 เดือน ตัวผู้ของเป็ดพันธุ์พื้นเมืองนิยมนำไปเลี้ยงเป็นเป็ดเนื้อ
ในปัจจุบัน เป็ดไข่พันธุ์พื้นเมืองแท้แทบจะหมดไปจากวงการเลี้ยงเป็ดไข่แล้ว เนื่องจากมีการผสมพันธุ์กันระหว่างพันธุ์กากีแคมเบลล์กับพันธุ์พื้นเมืองมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนกลายเป็นเป็ดพันธุ์ผสมแทบทั้งหมด พันธุ์แท้ส่วนใหญ่เหลืออยู่ตามสถานีทดลองของกรมปศุสัตว์เท่านั้น

       พันธุ์ลูกผสมกากีแคมเบลล์กับพื้นเมือง นิยมเลี้ยงกันมากกว่าพันธุ์แท้ เพราะเลี้ยงง่าย ทนทาน ให้เนื้อดี และให้ไข่ดก ประมาณ 260 ฟองต่อปี อายุที่เริ่มไข่ประมาณ 5 1/2-6 เดือน

       พันธุ์ลูกผสม ไฮ-บริด พัฒนาพันธุ์โดยบริษัทเอกชนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่แล้วนำเข้ามาเลี้ยงใน เมืองไทย เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการเลี้ยงเป็ดมากขึ้น พันธุ์ที่นิยมเลี้ยง เช่น ซุปเปอร์ดั๊ค
ลักษณะทั่วไปของเป็ดที่ให้ไข่ดก
-เป็ดมีลำตัวลึกและกว้าง
-ขนกร้านไม่สวยงาม ไม่พองฟู
-นัยน์ตานูนเด่นเป็นประกายสดใส
-ช่วงคอลึกและแข็งแรง
-ก้นย้อยห้อยเกือบติดดิน
-จับดูหน้าท้องจะบางและนุ่ม
-กระดูกเชิงกรานกว้าง ทวารกว้างและชื้น

2. เป็ดพันธุ์เนื้อ

พันธุ์ปักกิ่ง มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน รูปร่างใหญ่โต ลำตัวกว้างลึกและหนา ขนสีขาวล้วน ปากสีเหลือง-ส้ม แข้งและเท้าสีหมากสุก ผิวหน้าสีเหลือง เลี้ยงง่าย ไม่ฟักไข่ ให้ไข่ดีพอใช้ ประมาณ 160 ฟองต่อปี เปลือกไข่สีขาว เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้หนักประมาณ 4 กก. ตัวเมียหนัก 3.5 กก.
เป็ดปักกิ่งมีนิสัยค่อนข้างตื่นตกใจง่าย ผู้เลี้ยงควรระวัง เพราะอาจกระทบกับการเจริญเติบโตได้ ใช้เลี้ยงไล่ทุ่งไม่ค่อยได้ผล ควรเลี้ยงในเล้าที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก จึงจะเติบโตดี นอกจากให้เนื้อแล้ว ขนเป็ดปักกิ่งยังเป็นที่ต้องการของอุตสาหกรรมผลิตลูกขนไก่ และใช้ทำฟูกที่นอนได้ด้วย

เป็ดเทศ (Muscovy) มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ เป็นเป็ดอีกพันธุ์หนึ่งต่างหาก เมื่อทำการผสม พันธุ์กับเป็ดพันธุ์อื่น จะให้ลูกเป็นหมัน เช่น เป็นพันธุ์ปั๊วฉ่าย
เป็ดเทศใช้อาหารพวกพืชสดได้ดีคล้าย ๆ กับห่าน เป็นเป็ดที่ให้เนื้อดีแต่ให้ไข่น้อย และโตค่อนข้างช้า จึงไม่ค่อยมีผู้นิยมเลี้ยงเป็นการค้า เป็ดเทศชอบฟักไข่และเลี้ยงลูกไก่ มีนิสัยชอบบิน เมื่อโตเต็มที่ตัวผู้จะมีน้ำหนักประมาณ 4-4.5 กก. ตัวเมียมีน้ำหนัก 3.0-3.5 กก.
เป็ดเทศมี 2 ชนิด คือ ชนิดมีสีขาว และชนิดสีดำ ทั้ง 2 ชนิด ที่บริเวณหน้าและเหนือจมูก มีหนังย่นสีแดง
เป็นเทศชนิดที่มีสีขาวจะมีขนสีขาว ผิวหนังสีขาว แข้งสีเหลือง-ส้มอ่อน ปากมีสีเนื้อ
ชนิดสีดำมีขนที่หน้าอก ลำตัและหลังสีดำประขาวปากสีชมพู แข้งสีเหลืองหรือตะกั่วเข้ม

       พันธุ์ปั๊วฉ่าย เป็นเป็ดพันธุ์ผสมระหว่างเป็ดเทศกับเป็ดธรรมดา พันธุ์พื้นเมืองของไทย ลูกเป็ดที่ได้จะเป็นหมันทั้งเพศผู้และเพศเมีย
ลักษณะเป็ดพันธุ์นี้ที่สำคัญ คือโครงร่างใหญ่ เล็บแหลมดำ และว่องไว กระโดดเก่งกว่าลูกเป็ดธรรมดา เลี้ยงง่าย โตเร็ว ไม่เที่ยวหากินไกล ไม่ร้องเสียงดัง รสชาติของเนื้อดีกว่าเป็ดธรรมดา เนื้อแน่น มีไขมันต่ำ ชาวจีน นิยมบริโภคมานานนับร้อยปีแล้ว ในช่วงตรุษและสารทจีน ราคาดีกว่าเป็ดธรรมดามาก
การเลี้ยงใช้เวลาประมาณ 3.5-4 เดือน เป็ดตัวผู้จะมีน้ำหนัก 3-3.5 กก. ส่วนตัวเมียจะหนัก 2.5-3 กก.

     พันธุ์ลูกผสม ไฮ-บริด นำมาเผยแพร่โดยบริษัทเอกชน มีเลี้ยงกันอยู่หลายพันธุ์ในขณะนี้ เช่น พันธุ์ เชอรี่วอลเลย์ พันธุ์ทีเกล พันธุ์ฮักการด์ พันธุ์เลคการด์ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่มีการพัฒนาพันธุ์โดยมีพันธุ์ปักกิ่งผสมอยู่ด้วย

                      พันธุ์พื้นเมือง มีอยู่ 2 พันธุ์ด้วยกัน คือ

     พันธุ์นครปฐม เป็นเป็ดตัวผู้ที่คัดออกจากเป็ดพันธุ์ไข่ และนำมาเลี้ยงเป็นเป็ดเนื้อ ได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงมากที่สุด เพราะลูกเป็ดราคาถูก เลี้ยงง่าย และได้น้ำหนักดีกว่าเป็ดพื้นเมืองพันธุ์อื่น ๆ ใช้เวลาเลี้ยง 3-4 เดือน ได้ น้ำหนักเฉลี่ย 1.6-2.0 กก. ตัวผู้จะมีหัวสีเขียว คอควั่นขาว อกสีแดง ลำตัวสีเทา และเท้าสีส้ม

    พันธุ์กากีผสม เป็นเป็ดตัวผู้ที่คัดออกจากเป็ดไข่พันธุ์กากีผสมและนำมาเลี้ยงเป็นเป็ดพันธุ์เนื้อ เป็นเป็ดพันธุ์ เล็ก น้ำหนักไม่ค่อยดี จึงไม่นิยมเลี้ยงกันมากนัก ใช้เวลาเลี้ยง 4 เดือน ได้น้ำหนัก 1.3-1.6 กก.
การเลี้ยงเป็ดตัวผู้เป็นเป็ดพันธุ์เนื้อเดิมทีเดียว ไม่ได้นิยมกันมากนัก จนกระทั่งเกษตรกรแถบนครปฐม สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา อ่างทอง หลังจากทำนาแล้ว ก็ลองซื้อลูกเป็ดตัวผู้มาเลี้ยง จนกลายเป็นความนิยมทั่วไป โดยส่วนมากนิยมเลี้ยงเป็ดพื้นเมือง การเลี้ยงก็โดยอาศัยให้เป็ดหากินเก็บข้าวตกและลูกกุ้ง ลูกปลาตามหนอง คลอง บึง ต่าง ๆ

                                                            เป็ดกากีแคมเบลล์ สุดยอด "ไข่ดก"


     เป็ดกากีแคมเบลล์ สุดยอด "ไข่ดก"

เป็ดไล่ทุ่งที่เกษตรกรเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นเป็ดพันธุ์ไข่ ซึ่งก็แบ่งออกได้อีกหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์กากีแคมเบลล์ พันธุ์อินเดียนรันเนอร์ พันธุ์พื้นเมือง(เป็ดนครปฐม เป็ดปากน้ำ) พันธุ์ลูกผสมกากีแคมเบลล์กับพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ลูกผสมไฮ-บริด

"เป็ดพันธุ์ปั๊วฉ่าย เป็ดปากน้ำ ก็เลี้ยงบ้าง แต่ที่เลี้ยงเยอะก็พันธุ์กากีแคมเบลล์ เพราะมันไข่เร็ว 4 เดือนครึ่ง มันก็ออกไข่แล้ว" คือคำบอกเล่าของสุวิทย์ สว่างอารมณ์ ผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ชาวบ้านพรวน อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี

เพราะเป็นเป็ดที่ได้รับการกล่าวขานว่า "ไข่ดก" ที่สุดในโลกพันธุ์หนึ่ง โดยไข่ได้ปีละมากกว่า 300 ฟอง
เป็ด "พันธุ์กากีแคมเบลล์" จึงถูกใจผู้เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งอย่างมาก รวมถึงสุวิทย์ เกษตรกรหนุ่มวัย 26 ปีผู้นี้ด้วย

เขาบรรยายลักษณะ ที่สังเกตเห็นง่ายของเป็ดพันธุ์นี้ว่า มีขนสีน้ำตาล แต่ขนที่หลังมีสลับอ่อนกว่า ปากสีดำค่อนไปทางเขียว จงอยปากต่ำ ตาสีน้ำตาลเข้ม คอส่วนบนสีน้ำตาลส่วนล่างสีกากี ขาและเท้ามีเป็นสีกากีเข้ม

"เขาจะเลี้ยงหลายๆพันธุ์รวมกันทุกเจ้านั่นแหละ ผมก็เลี้ยงเป็ดปักกิ่งด้วย เวลามันออกไปไกลๆ สังเกตสีขาวๆ ก็รู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน"

เพราะเป็ดพันธุ์กากีแคมเบลล์นั้น สีของมันจะกลืนไปกับผืนนา เขาจึงต้องมีเป็ดปักกิ่งสีขาวอย่างน้อย 20 ตัวอยู่ในฝูง เพื่อจะได้มองเห็นว่าเป็ดที่หากิน เศษข้าว หรือ หอยเชอรี่ ไปไกลถึงไหนแล้ว

"มันชอบวิ่งตามตัวสีขาว ถ้านับตัวสีขาวว่าอยู่ครบ ก็แสดงว่าเป็ดมาครบ" เขาบอกเคล็ดลับ

เป็ดสีขาวช่วยบอกได้ว่า เจ้าพวกซุกซนทั้ง 3,000 ตัวของเขา อยู่ครบหรือหายไป เป็ดปักกิ่งจึงเปรียบได้กับจ่าฝูงคอยนำหน้าเวลาเป็ดไล่ทุ่งถูกต้อนกลับเล้า ทำให้เขาเบาแรงได้มากเช่นกัน





                                                    เป็ดอบน้ำผึ้ง ทำได้ใกล้เคียงกับ MK






สูตรการทำของเรา
-เป็ด นน. 2 กก
-ผงหมักเป็ดโลโบ 1 ซอง
-เต้าเจี้ยว 1 ชต.
-หอมแดง 1 ชช.
-ขิง 1 ชช.
-รากผักชี 1 ราก
-กระเทียม 2 กลีบ
**** ตำส่วนผสม ขิง กระเทียม รากผักชี หอมแดง โขลกรวมกันให้แหลก แล้วนำไปผสมกับผงหมักเป็ดโลโบและเต้าเจี้ยว คนๆให้เข้ากันพักไว้เพื่อรอยัดในท้องเป็ดและทาตัวเป็ดด้วย
-น้ำผึ้ง 3 ขต.
-ซีอิ๊วขาว 6 ชต.
***-ผสมน้ำผึ่งกับซีอิ๊วขาว พักไว้เพื่อทาตัวเป็ด ที่เหลือก็เอาไว้ทาตอนระหว่างอบเป็ดด้วย
วิธีทำ
1.ล้างเป็ดให้สะอาดด้วยเกลือ โดยเฉพาะในทอ้งเป็ดต้องทำความสะอาดให้ดีๆ ล้างด้วยเกลือหลายๆหนหน่อยก็ดีเพื่อเป็ดจะได้ไม่เหม็นสาบมาก
2.ซับเป็ดให้แห้งแล้วเอาเครื่องที่ตำไว้ยัดลงไปในท้องเป็ด แล้วก็ทาให้ทั่วตัวเป็ดด้วยทั้ง 2 ด้าน ทาให้ทั่วๆๆ เยอะๆๆ เรากักส่วนผสมที่ตำไว้ เกือบ 1 ช้อนชา เอาไว้ไปทำน้ำซอสภายหลังกลิ่นจะได้หอมๆๆ จัดการเย็บท้องเป็ดและคอเป็ดให้มิดชิด บางคนจะเป่าลมใส่คอเป็ดแต่เราไม่เป่าเพราะทำไม่เป็น ขนาดไม่เป่าลมที่คอเราก้อบเป็ดได้หนังกรอบไม่รู้ว่าฟลุคหรือปลาว? ฮา ๆ ๆ
3.นำส่วนผสมของน้ำผึ้งกับซีอิ๋วขาวที่ผสมรอไว้แล้า ทาลงไปบนตัวเป็ดให้ทั่ว แล้วพักเป็ดตากลมไว้ 15 -20 นาที  เคล้ดลับของเราคือ เอาเชือกมาร้อยแขวนเป็ด ผึ่งลมไว้ให้หมาดๆมันง่ายแก่การทาซอสต่างๆลงบนตัวเป็ดด้วย
4.ช่วงนี้ก็วอรม์เตาอบไว้เลยที่อุณหภูมิ 220 องศา โดยวอร์มไว้ 20 นาที...ก่อนอบเป็ด 
 ก็จัดการส่งเป็ดเข้าเตาอบโดยเอาด้านหลังเป็ดอยู่ข้างบนก่อน อบไปประมาณ 15-20 นาที เตาอบของเราใช้เวลาประมาณ 17 นาที
 หนังเป็ดก็เริ่มสุกส่งกลิ่นหอมและสีก็กำลังจะดำแล้ว จ๊ากก.....เรารีบเอาน้ำผึ้งที่หมักไว้ที่เหลือมาทาให้ทั่วหลังเป็ด
แล้วก็จัดการกลับเอาด้านทอ้งเป็ดขึ้นมาทาน้ำผึ้งให้ทั่วเป็ดอีกครั้ง..... ขั้นตอนนี้เราจะเอากระดาษฟอยล์มาห่อคลุมปีกเป็ดไว้ทั้ง 2 ปีกเพราะไม่อยากให้ปีกเป็ดไหม้ก่อนเพื่อน ประมาณว่ากว่าเป็ดจะสุก...ปีกก็ไหม้ดำปี๋ไม่น่าทาน อันนี้เราออกความเห็นเองนา หุหุ 
...แล้วก็อบต่อไป โดยคราวนี้เราลดไฟลงมาเหลือ 175 องศา อบ 10-15 นาที
5.หลังจากอบด้านทอ้งเป็ดผ่านไป 15+10 นาที (จับเวลา2 ครั้ง) เราก็ทาน้ำผึ้งให้ทั่วเป็ดอีกรอบคราวนี้เราเอาฟอยล์แผ่นใหญ่มาปิดคลุมเป็ดไว้เพื่อกันหนังเป็ดไหม้ก่อนสุก 
แล้วเราก็อบเป็ดต่อไป  ด้วยไฟ 100 องศา โดยหมั่นเปิดฟอยล์ดูด้วยว่าเป็ดเป็นอย่างไร พออบได้ครบ 1.30-2 ชม ปิดเตาอบ แล้วเราก็เอาเป็ดออกมาพัก...ตากลม....สักครู่ เป็ดที่ได้ในตอนนี้หนังจะไม่กรอบนะคะแถมนิ่มอีกต่างหาก
วอรม์เตาอบเไฟ 220 อีกรอบ...
ส่งเป็ดเข้าเตาอบอีกครั้งคราวนี้อบเพื่อให้หนังกรอบจ้า โดยจะใช้เวลาอบไม่นานแค่ด้านละประมาณ 3-5นาที ถึงตอนนี้ต้องเฝ้าดูเป็ดด้วยนะคะห้ามหนีไปไหน จับตาดูตลอดเวลาเลยจะเห็นหนังเป็ดเร่ิมตึงภายใน3นาที (ถ้าเตาอบร้อนได้ตามอุณหภูมิ 220) ก็กลับด้านเอาด้านท้องขึ้น  ด้านท้องนี้อาจใช้เวลาอบหนังมากกว่านิดนึง เพราะมีมันเยอะจัด แต่ก็ต้องจับตาดูไม่ห่างเช่นกัน  ไม่อย่างนั้นเป็ดมีสิทธิ็ไหม้ได้ง่าย พาลจะตายตอนจบ
6. พักเป็ดให้เย็นพอสับได้ ก็จัดการสับ โช๊ะ ๆ ๆ เรียงลงจานได้เลย รับรองอร่อย
 
                                         เป็ดพันธุ์เนื้อ 
        
         เป็ดพันธุ์เชอรี่วอลเลย์ (Cherry Valley)
เป็นชื่อทางการค้ามีสายพันธุ์มาจากประเทศอังกฤษ เป็นเป็ดเนื้อที่มีลักษณะและสีคล้ายเป็ดปักกิ่ง แต่ตัวใหญ่และโตเร็วอายุที่ขายสู่ท้องตลาดประมาณ54 วัน นำหนักตัวประมาณ 3.3 กก.ขึ้นไป เป็นที่นิยมเลี้ยงเป็ดเนื้อในประเทศไทย โดยมีการเลี้ยงเพื่อส่งเนื้อเป็ดไปจำหน่ายต่างประเทศ ทั้งในรูปเนื้อเป็ดแช่แข็งละเนื้อเป็ดสุก และมีการส่งออกทุกปี
ประเทศที่นำผลิตผลจากเนื้อเป็ดเข้ามี อังกฤษ เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีลูกเป็ดเนื้อที่ผลิตในเมืองไทยจำหน่ายต่างประเทศอีก

ตารางแสดงปริมาณการส่งเป็ดและผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายต่างประเทศ ปี 2541 - 2544

ปี
เนื้อเป็ดแช่แข็ง
เนื้อเป็ดสุก
ลูกเป็ด
ปริมาณ(ตัน)
มูลค่า(ล้านบาท)
ปริมาณ(ตัน)
มูลค่า(ล้านบาท)
ปริมาณ(ตัน)
มูลค่า(ล้านบาท)
2541
4,824
427.75
-
-
260,300
12.889
2542
6,726
554.62
0.141
17.55
1,001,715
27.743
2543
6,837
545.30
8.069
716.91
508,205
11.169
2544
6,880
638.65
10.303
1,102.95
484,044
16.207
ที่มา ศูนย์สารสนเทศ กรมปศุสัตว์
เสริมบุญสร้างบารมีมีมงคลด้วยเป็ดเชอรี่วอลเลย์ 

เป็ด ตัว ไหว้ ที่ เฮง ต่อ 
สารทจีนเป็นวันสำคัญที่จะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษโดยพิธีเซ่นไหว้ ทั้งครอบครัวได้รับประทานอาหารด้วยกันหลังของไหว้ที่มีมากมายสามารถแจกจ่ายเพื่อนบ้านและคนที่มาร่วมงานเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน อีกทั้งยังเป็นเหมือนการทำทาน เพื่อเสริมบุญ สร้างบารมี มีมงคลต่อร่างกายและจิตใจของคนในครอบครัว

      โดยวิธีการไหว้สารทจีนที่ถูกต้องจะไหว้ ชุดที่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลดังนี้
1. ชุดสำหรับไหว้เจ้าที่ในตอนเช้า
2. ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษในตอนสายเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
3. ชุดสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อน โดยจะไหว้บริเวนนอกบ้าน นิยมไหว้ก่อนเที่ยง บางบ้านไหว้หลังเที่ยงแล้วแต่สะดวก

      การเลือกซื้อของไหว้คนไทยเชื้อสายจีนมักจะพิถีพิถันเลือกของไหว้คุณภาพ ของไหว้จะต้องเป็นของที่มีความหมายมงคล เช่น เป็ด ที่มีความหมายดีเป็นมงคลต่อชีวิต นั่นคือความอุดมสมบูรณ์ ให้มีมากมีเยอะการไหว้ด้วยเป็ดเปรียบเสมือนไหว้ทองก้อนใหญ่ยิ่งช่วงสารทจีนเป็นการจัดของไหว้ชุดเหมือนไหว้ก้อนทอง ก้อนใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับทุกคนในครอบครัวเป็ดพะโล้ ใช้เป็ดเชอรี่ที่มีเนื้อมากกว่าและนุ่มกว่าเป็ดทั่วไป หอมอร่อย นอกจากเป็ดสะอาด ปลอดภัย จัดโต๊ะไหว้อย่างไรให้ถูกวิธีคิดว่าไม่สำคัญเท่ากับการเลือกของไหว้ที่ดีมีทั้งความหมายมงคลอวยพรที่เป็นทั้งได้กินของดีและอร่อยที่คนชอบกินกันทั้งครอบครัวเป็นของไหว้ที่เก็บได้นานและหาซื้อง่ายหรือสะดวกในการเลือกซื้อ




ความหมายของไหว้เจ้า

เป็ด     เพื่อความอุดมสมบูรณ์
ไก่ เพื่ออวยพรให้ก้าวหน้าในงาน (จากไก่มีหงอนเหมือนหมวกขุนนาง) 
หมู เพื่อให้สมบูรณ์พูนสุข
ปลา ปลาหมึก เพื่ออวยพรให้เหลือกินเหลือใช้
ตับ เพื่อให้ก้าวหน้าในงาน
เกี๊ยวกุ้ง การห่อโชค และความอุดมสมบูรณ์
น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น
บะหมี่ การมีอายุยืนยาว หรือความต่อเนื่อง
เห็ดหอม สาหร่าย ดอกไม้จีน วุ้นเส้น ฟองเต้าหู้ อายุยืน มีสติปัญญาฉลาด อุดมสมบูรณ์พูนผล

                                   เป็ดปักกิ่ง

เป็ดปักกิ่ง (อังกฤษPeking Duckจีน: 北京烤鸭; พินอิน: Běijīng kǎo yā) คืออาหารจีนเลิศรสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติจีน เสิร์ฟในรูปแผ่นหนังบางกรอบ ที่มาพร้อมแผ่นแป้งบางสำหรับห่อ ตามด้วยซอสหวานและเครื่องเคียงอย่าง ต้นหอม โดยจะใช้เฉพาะส่วนหัวที่เป็นสีขาวนำมาซอยเป็นเส้น คู่กับแตงกวาปอกเปลือกหั่นเป็นแท่ง หนังเป็ดจะต้องแล่ออกเป็นแผ่นบางตอนร้อนๆ ยิ่งหากลงจากเตาใหม่ๆ จะช่วยให้แล่ง่ายขึ้นและได้เป็นชิ้นสวยงาม สูตรต้นตำรับของปักกิ่งจะแล่หนังติดเนื้อมาด้วย ในขณะที่ประเทศไทยนิยมแล่เฉพาะหนัง ส่วนเนื้อเป็ดนำไปปรุงรสตามชอบ เช่น ผัดกระเทียม เมี่ยงเป็ด เป็นต้น
สองภัตตาคารในกรุงปักกิ่งที่โด่งดังขึ้นชื่อเรื่องเป็ดปักกิ่ง คือ เฉวียนจวี้เต๋อ (全聚德 พินอิน: Quánjùdé) และ เปี้ยนอี้ฟาง (便宜坊 พินอิน:Biànyífānɡ) ที่เป็นเจ้าแรกต้นตำรับของกรุงปักกิ่ง
Peking Duck 3.jpg

ประวัติ[แก้]

เป็ดปักกิ่ง มีที่มาจากเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู โดยถือกำเนิดขึ้นในครัวหลวงของที่นั่น ก่อนที่จะถูกถ่ายทอดมายังปักกิ่ง อันเป็นเมืองหลวงของประเทศในยุคราชวงศ์หมิง ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15[1]

ขั้นเตรียมการ[แก้]

การเลี้ยงเป็ด[แก้]

เป็ดที่จะนำมาทำเมนูเป็ดปักกิ่งนั้น จะต้องเป็นเป็ดที่ได้รับการเลี้ยงดูพิเศษ ด้วยกรรมวิธีเฉพาะที่เรียกว่า "เถียนยา" (北京填鴨, พินอิน: Běijīng tián yā) ซึ่งคำนี้มีความหมายว่า "บังคับให้กินอาหาร"[2]หรือขุนให้อ้วนนั่นเอง ในช่วง 45 วันแรก ลูกเป็ดจะถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระเต็มที่ หลังจากนั้นจะถูกจับป้อนอาหาร บังคับให้กินวันละ 4 มื้อ นานติดต่อกัน 15-20 วัน จนกระทั่งน้ำหนักตัวขึ้นสูงถึง 5-7 กิโลกรัม[3]

การปรุง[แก้]

เป็ดปักกิ่งหลังผึ่งลมจนแห้ง
เป็ดที่ถูกขุนจนตัวอ้วนพีจะถูกนำมาผ่าท้อง ควักเอาเครื่องในออก และล้างให้สะอาดก่อนอัดอากาศเข้าไปข้างใน เพื่อให้ส่วนที่เป็นหนังแยกออก จากนั้นนำน้ำเดือดมาราดบริเวณหนังให้ทั่วตัว เพื่อให้ผิวหนังตึง ตามด้วยการทาผิวด้านนอกด้วยน้ำเชื่อม ตัวเป็ดจะกลายเป็นสีแดงคล้ายย้อมสี จะต้องเทน้ำเดือดเข้าไปในท้องเป็ดอีกรอบ ก่อนนำขึ้นแขวนตะขอผึ่งลมจนแห้ง[4]
กรรมวิธีในการย่างแบ่งได้สามวิธีด้วยกัน[4] ในอดีตจะใช้วิธี "เสียบไม้ย่าง" โดยใช้ไม้ลักษณะคล้ายสามง่าม เสียบแทงตัวเป็ดและนำขึ้นย่างไฟ จะต้องคอยพลิกเป็ดกลับไปมาคล้ายการย่างหมูหัน ซึ่งทำให้เสียเวลามาก เนื้อเป็ดที่ได้จะไม่หอมอร่อยเท่าที่ควร ปัจจุบันจึงเลิกใช้วิธีนี้แล้ว
วิธีที่สองคือ "แขวนย่าง" โดยจะนำไม้จากต้นผลไม้ต่างๆ เช่น พุทรา ท้อ หรือสาลี่ นำไม้มาเหลาให้ได้ขนาดเพื่อนำมาทำเป็นฟืนสำหรับย่างเป็ด อุณหภูมิในการย่างจะสูงถึง 270°C (525 °F) ย่างนาน 30–40 นาที เป็ดที่ย่างโดยกรรมวิธีนี้จะมีรสชาติพิเศษ หนังจะกรอบเกรียม เนื้อในนุ่ม สุกแล้วสีผิวจะออกแดงพุทราและเป็นมันวาว หอมอบอวลด้วยกลิ่นจากต้นผลไม้
วิธีที่สามคือ "อบในเตาปิด" ตัวเป็ดจะไม่สัมผัสกับเปลวไฟโดยตรง แต่จะใช้การถ่ายเทความร้อนผ่านผนังเตา ในระหว่างการย่าง พ่อครัวจะไม่เปิดประตูเตาเลยจนกระทั่งตัวเป็ดสุก[5] ซึ่งกรรมวิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านดังเก่าแก่อย่างเปี้ยนอี้ฟางใช้มาตั้งแต่ดั้งเดิม

การเสิร์ฟและการรับประทาน[แก้]

พ่อครัวเป็ดปักกิ่งจากร้านเฉวียนจวี้เต๋อโชว์การแล่เป็ด
กรรมวิธีในการปรุงเป็ดปักกิ่งนับว่ามีเอกลักษณ์น่าดึงดูด ทว่ากรรมวิธีในการแล่ยิ่งตื่นตาตื่นใจกว่า เป็ดหนึ่งตัวจะต้องแล่ให้ได้หนังและเนื้อรวมกัน 108 ชิ้น โดยที่ชิ้นแรกๆ จะแล่เฉพาะหนังกรอบ ชิ้นต่อๆ ไปจะแล่เป็นชิ้นบางติดทั้งเนื้อและหนัง[6] และการแล่จะต้องเสร็จสิ้นก่อนที่ตัวเป็ดจะเย็น มิฉะนั้นอาจทำให้เสียรสชาติได้
การรับประทานเป็ดปักกิ่งก็พิถีพิถันพอกัน โดยจะนำหนังเป็ดและเนื้อที่แล่เป็นชิ้นพอคำ จิ้มกับซอสหวาน หรือเต้าเจี้ยวหวาน "เถียนเมี่ยนเจี้ยง" (甜面酱, พินอิน: tián miàn jiàng) นำมาวางบนแผ่นแป้ง จากนั้นนำต้นหอมที่หั่นเป็นเส้นบาง หรือชิ้นแตงกวาสดกรอบมาวางทับอีกที แล้วก็พับหรือม้วนเข้าด้วยกันคล้ายการห่อเปาะเปี๊ยะ บางร้านจะเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปเป็ดที่ตุ๋นจนเป็นสีขาวขุ่น รสกลมกล่อมคล่องคอ
ทุกวันนี้ เป็ดปักกิ่งไม่เพียงเป็นอาหารจานโปรดของชาวจีน หากยังเป็นอาหารยอดนิยมของชาวต่างชาติที่เดินทางไปท่องเที่ยวกรุงปักกิ่งอีกด้วย สนนราคาเมนูนี้ค่อนข้างสูงพอสมควร จึงมักรับประทานเฉพาะในโอกาสพิเศษ เช่น ฉลองวันเกิด งานเลี้ยงแต่งงาน งานสังสรรค์ เป็นต้น